วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

คติประจำใจ

ความดีก็เหมือนกางเกงใน ควรมีไว้แต่ไม่ต้องโชว์
"คนเราทุกคนควรมีความดีในตัว แต่ไม่จำเป็นต้องแสดงให้คนอื่นเห็น ก็เหมือนการปิดทองหลังพระนั่นแหละ ถ้ามีแต่คนปิดทองหน้าพระ แล้วหลังพระไม่มีใครปิด พระพุทธรูป จะเป็นพระพุทธรูปที่สมบูรณ์ได้ยังไง"

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

MY IDOL

 ชื่อ - นามสกุล : ปรีติ บารมีอนันต์
ตำแหน่ง : ร้องนำ ( วง CLASH )
สังกัด : UP  G
วัน/เดือน/ปีเกิด : 20 ตุลาคม 2525           
เชื้อชาติ/สัญชาติ : ไทย/ไทย
ส่วนสูง/น้ำหนัก : 178 ซม. /64 กก.
พี่น้อง : 2 คน ( เป็นคนที่ 1 )
การศึกษา : มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
อุปนิสัย : ร่าเริง, สนุกสนาน
ของสะสม : แสตมป์
กีฬา : ฟุตบอล
สัตว์เลี้ยงที่ชอบ : สุนัข
อาหารจานโปรด : มีหลายอย่าง…
แนวเพลงที่ชอบ : ROCK
นักร้องที่ชอบ : SILLY FOOLS
บรรยากาศที่ชอบ : เย็นหลังฝนตก
คติประจำใจ : พัฒนาตัวเองเสมอ
ผลงานด้านโฆษณา : ปตท.พีทีที 4 ที ชาเลนเจอร์ ปี 2546มอเตอร์ไซด์ YAMAHA - รุ่น MIO AUTOMATIC ปี 2546 - 47
ผลงานการแสดง : ภาพยนตร์เรื่อง…พันธุ์ X เด็กสุดขั้ว/ ปี 2547
ผลงานการร้องเพลง : - อัลบั้มที่ 1 : ONE / ปี 2544- อัลบั้มที่ 2 : SOUND SHAKE / ปี 2546- อัลบั้มที่ 3 : BRAIN STORM / ปี 2547- อัลบั้มพิเศษ : SOUND CREAM / ปี 2546- อัลบั้มพิเศษ : เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง…พันธุ์ X เด็กสุดขั้ว / ปี 2547- อัลบั้มพิเศษ : PACK 4 Vol. 1-2 / ปี 2547
รางวัลที่เคยได้รับ : - ปี 2542 รองชนะเลิศอันดับ 1 ประกวด HOT WAVE MUSIC AWARDS ครั้งที่ 3 - ได้รับรางวัลเพลงร็อคยอดเยี่ยม เพลง LOVE จากงานประกาศรางวัลสีสัน - อะวอร์ด ครั้งที่ 14 ประจำปี 2544 จัดโดยนิตยสารสีสัน - ปี 2547 ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในฐานะแกนนำในการรณรงค์ - เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาโรคเอดส์ โดยได้รับมอบเข็มกลัดและตราสัญลักษณ์การประชุม - รูปช้างเผือก 3 เชือก

วันวาเลนไทน์

ทุก ๆ ปีเมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ ดอกกุหลาบสีแดง การ์ดอวยพร ของขวัญ และช็อกโกแลต จะถูกส่งอวยพรถึงกันและกัน ระหว่างคนที่มีความรักต่อกัน ไม่ใช่เพียงแต่คนหนุ่มสาว แต่ยังรวมถึงคนในครอบครัว หรือมิตรสหาย เพราะในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งนับเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันแห่งความรัก หรือ วันวาเลนไทน์
ชื่อของ วาเลนไทน์ เข้ามาเกี่ยวข้องกับ วันแห่งความรัก นี้ได้อย่างไร ? และทำไมเดือนกุมภาพันธ์ จึง เป็นเดือนแห่งความรัก ?
ประวัติดั้งเดิมของ วันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็น วันแห่งความรัก เกี่ยวพันทั้งกับประเพณีของชาวคริสเตียน และประเพณีดั้งเดิมของชาวโรมัน ที่สืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน ตามความรับรู้ของชาวคริสต์ วันวาเลนไทน์ มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับนักบุญที่ชื่อ วาเลนไทน์ หรือ วาเลนตินัส อย่างน้อย 3 คน ซึ่งทุกคนเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ทั้งสิ้น
ตำนานหนึ่งเล่าว่า วาเลนไทน์ เป็นนักบวชที่มีชีวิตอยู่ในกรุงโรม ในช่วงศตวรรษที่ 3 ของปีคริสตศักราช ในช่วงที่จักรพรรดิ คลอดิอุส 2 ปกครองกรุงโรม พระองค์เห็นว่า ผู้ชายที่เป็นโสด จะทำหน้าที่ทหารได้ดีกว่าชายที่มีภรรยาและครอบครัว พระองค์จึงทรงออกกฎหมายห้ามมิให้ผู้ชายในวัยหนุ่มแต่งงาน เพื่อที่จะกะเกณฑ์ชายหนุ่มที่ยังไม่แต่งงานเหล่านี้มาเป็นทหาร นักบวช วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับจักรพรรดิ คลอดิอุส และเห็นว่าเป็นกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม จึงยังคงลักลอบทำพิธีแต่งงานให้กับคนหนุ่มสาวที่มีความรักต่อไป เมื่อการกระทำของ นักบวชวาเลนไทน์ ล่วงรู้ถึงหูของจักรพรรดิ คลอดิอุส พระองค์จึงสั่งให้จับกุมและให้ประหาร นักบวชวาเลนไทน์ เสีย
อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า นักบวชวาเลนไทน์ ถูกประหารเพราะพยายามที่จะช่วยเหลือชาวคริสเตียนให้หนีออกจากคุกของพวกโรมัน ซึ่งเวลานั้น ผู้ที่เป็นคริสเตียนจะมีความผิด ต้องถูกนำไปคุมขัง และทรมานด้วยการเฆี่ยนตี
ตำนานที่สามเล่ากันว่า นักบวช วาเลนไทน์ คือผู้ที่ส่ง บัตร “ วาเลนไทน์ ” เป็นคนแรก ในขณะที่นักบวช วาเลนไทน์ ถูกจำคุกอยู่นั้น เขาตกหลุมรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง นางเป็นลูกสาวของผู้คุมที่คุกแห่งนั้น ซึ่งนางเข้าไปเยี่ยมในระหว่างที่นักบวชผู้นี้กำลังนอนป่วย ก่อนที่จะถูกประหาร เขาได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงนาง และลงท้ายจดหมายว่า “ จาก วาเลนไทน์ ของเธอ ” ซึ่งเป็นวลีที่ยังใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าความจริงเกี่ยวกับนักบวช วาเลนไทน์ จะเป็นตำนานที่ค่อนข้างสับสน แต่ทุกตำนานก็เป็นเรื่องของความเห็นอกเห็นใจในเพื่อนมนุษย์ ความกล้าหาญ และที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของ ความรัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ในยุคกลางของยุโรป(ประมาณศตวรรษที่ 5 ถึงศตวรรษที่ 16 ของปีคริสตศักราช) นักบุญ วาเลนไทน์ จะเป็นหนึ่งในนักบุญที่ได้รับความศรัทธามากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษและฝรั่งเศส
ขณะที่บางคนเชื่อว่า วันวาเลนไทน์ คือวันรำลึกถึงการเสียชีวิต หรือวันทำพิธีฝังศพของนักบุญ วาเลนไทน์ ในกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอาจจะเริ่มมาตั้งแต่ประมาณปีคริสตศักราช 270 ในบางความเชื่อกล่าวว่า พิธีแสดงความรักต่อนักบุญ วาเลนไทน์ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นประเพณีที่เพื่อแสดงความเป็น คริสเตียน ของนักบวชในศาสนาคริสต์ เพื่อที่จะมาทดแทนเทศกาล ลูเปอร์คาเลีย (Lupercalia) ของชาวโรมันในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่แสดงความรักต่อเทพเจ้าฟอนนัสของชาวโรมัน ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งเกษตรกรรม และเทพเจ้ารอมมิวนัส และเทพเจ้าเรมัส เทพเจ้าผู้สร้างกรุงโรม
พิธีเริ่มต้นโดยพวกสมาชิกของ ลูเปอร์ซิ และนักบวชโรมัน ไปชุมนุมกันที่ถ้ำอันศักดิ์ของพวกเขา ซึ่งเป็นที่กำเนิดของเทพเจ้า รอมมิวนัส และ เรมัส ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้สร้างกรุงโรม และเติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูและดื่มนมจากหมาป่า หรือ ลูปา พวกนักบวชโรมันจะทำการฆ่าแพะบูชายัญเพื่อความอุดมสมบูรณ์ และฆ่าสุนัขบูชายัญเพื่อความบริสุทธิ์
จากนั้นเด็กหนุ่ม ๆ จะทำการแล่หนังของแพะออกเป็นชิ้นยาว ๆ นำไปจุ่มในเลือดศักดิ์สิทธิ์ ถือไปตามถนน นำไปแตะที่ตัวผู้หญิง และถือไปตามท้องไร่ท้องนาต่าง ๆ ผู้หญิงโรมันจะเต็มใจให้นำเอาหนังแกะสดที่ชุ่มไปด้วยเลือดมาแตะตามตัว เพราะเชื่อว่าจะนำเอาความอุดมสมบูรณ์มาสู่กรุงโรม จากนั้นในรุ่งขึ้นอีกวัน หญิงสาวชาวเมืองจะพากันเอาชื่อของนางใส่ลงในหม้อขนาดใหญ่ เพื่อให้ชายโสดทั้งหลายมาเลือกชื่อพวกนางจากหม้อใบนี้ และก็เป็นคู่กันไปตลอดทั้งปี ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะลงเอยด้วยการแต่งงานกัน สันตะปาปา เกลาเซียส ได้ประกาศเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันนักบุญวาเลนไทน์ เมื่อประมาณปีคริสตศักราช 498 การเลือกคู่แบบโรมัน กลายเป็นสิ่งที่ “ ไม่ใช่คริสเตียน ” และผิดกฎ ต่อมาในสมัยยุคกลางของยุโรป ได้กลายเป็นความเชื่อของคนในอังกฤษและฝรั่งเศสว่า 14 กุมภาพันธ์ เป็นการเริ่มต้นฤดูผสมพันธุ์ของ “ นก ” แล้วก็กลายเป็น วันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็น วันแห่งความรัก
เรื่องราวของ วาเลนไทน์ ที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งยังมีหลักฐานหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน คือบทกวีที่เขียนโดย ชาร์ลส ขุนนาง แห่ง ออร์ลีนส์ ซึ่งเขียนให้กับภรรยาของเขาขณะถูกคุมขังในหอคอยกรุงลอนดอน เนื่องจากถูกจับกุมในระหว่างสงคราม อะจินคอร์ต บทกวีชิ้นนี้เขียนขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 1415 ถูกเก็บไว้ในห้องสมุด บริติช แห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และหลายปีต่อมา เชื่อกันว่า พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 ได้จ้างวานให้กวีที่ชื่อ จอห์น ไลด์เกต ประพันธ์บทกวี วาเลนไทน์ ให้กับ แคทเธอรีน แห่ง วาโลอิส ในอังกฤษ เทศกาล วันวาเลนไทน์ ได้รับความนิยม มาตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 17 ของปีคริสตศักราช
คิวปิด หรือ กามเทพ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักของชาวโรมัน ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ อันหนึ่งของ วันวาเลนไทน์ เนื่องจาก คิวปิด เป็นบุตรของเทพธิดา วีนัส ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งความรัก และความงามของชาวโรมัน และมักจะปรากฏอยู่บน บัตรอวยพร วันวาเลนไทน์ อยู่เสมอ
กลางศตวรรษที่ 18 เป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับผู้ที่เป็นคนรักกัน หรือ แม้แต่มิตรสหาย ทุกชั้นชน ที่จะแลกเปลี่ยนของขวัญชิ้นเล็ก ๆ หรือส่งจดหมายถึงกัน
จนถึงยุคปัจจุบัน ก็ได้กลายเป็นการส่งบัตรอวยพร การซื้อของขวัญ และการมอบขนมและช็อกโกแลต ให้แก่กัน และจนถึงวันนี้การส่งอีเมล์ และ เอสเอ็มเอส เพื่ออวยพรเนื่องใน วันวาเลนไทน์ ก็อาจจะเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมสูงสุดอีกสื่อหนึ่ง
สถิติของยุโรปและอเมริกา พบว่า ประมาณร้อยละ 85 ของผู้ที่ใช้จ่ายเพื่อ วันวาเลนไทน์ จะเป็นสตรี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องของ บัตรอวยพร ซึ่งก็ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นการอวยพรเฉพาะคู่รักเท่านั้น เพราะในวันวาเลนไทน์นี้จะสามารถแสดงออกความรักต่อใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงาน

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ครีโอพัตรา : ราชินีองค์สุดท้ายแห่งราชวงค์อียิปต์

หากถามว่าราชินีองค์ใดเลอโฉม ฉลาดหลักแหลม และมีเสน่ห์ที่เย้ายวน
ในราชวงศ์อียิปต์ หลายคนคงตอบว่า "คลีโอพัตรา"
เพราะเธอได้รับฉายาว่าเป็นหญิงสาวเจ้าเสน่ห์ที่กษัติย์นักรบ
ผู้เกรียงไกรแห่งโรมันอย่าง "จูเลียส ซีซ่าร์"
และ "มาร์ค แอนโทนี่" ต้องยอมศิโรราบบนตักของนาง
อย่างละมุนละม่อม คลีโอพัตราเป็นราชินีที่มีความชาญฉลาด
ในทางการเมืองและการรู้เท่าทันคน เพื่อรักษาราชวงศ์อียิปต์ไว้
ภายใต้การเรืองอำนาจแห่งโรมันที่พระนางไม่ยอมก้มหัวให้
จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตที่ประวัติศาสตร์ชาติอียิปต์
ต้องบันทึกไว้ในความทรงจำไปชั่วนิรันด์
 
ประมาณ 322 ปีก่อนคริตกาล พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีก
ได้กรีฑาทัพพร้อม "พโตเลมี" ซึ่งเป็นยอดขุนพลคู่ใจ
บุกเข้าครอบครองอียิปต์แล้วตั้งเมืองหลวงอียิปต์แห่งใหม่
ชื่อว่า "อเล็กซานเดรีย" ตามพระนามของพระองค์

(อเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นนักรบกรีกผู้ยิ่งใหญ่
ที่ได้รับการขนานนามว่า "นักรบผู้ไม่เคยพ่ายแพ้"
โดยรบร้อยครั้งชนะทั้งร้อยครั้ง และมีพระชนมายุเพียง 32 พรรษา)
เมืองหลวงแห่งใหม่สร้างยังไม่ทันเสร็จพระองค์ก็เสด็จสวรรคต
ลงเสียก่อน ทำให้บรรดาหัวเมืองต่างๆ พากันตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่
"พโตเลมี" ขุนพลผู้ชาญศึกได้เป็นผู้รวบรวมดินแดนอียิปต์
ให้เป็นปึกแผ่นขึ้นอีกครั้ง โดยสถาปนาตนเป็นกษัตริย์พโตเลมีที่ 1
และมีการสืบราชวงศ์จนกระทั่งสมัยคลีโอพัตราที่ 7 (ราชินีองค์สุดท้าย
แห่งอียิปย์ : คลีโอพัตราราชินีแห่งไอยคุปต์นั้นมีกันถึง 7 พระองค์
แสดงว่าชื่อนามนี้ได้รับความนิยมและฮอทฮิตพอสมควรเมื่อครั้งโบราณ)
ในยุคปลายราชวงศ์ "พโตเลมี" มีการแย่งชิงราชสมบัติกันภายในราชวงศ์
ประจวบเหมาะกับการแผ่ขยายอำนาจของโรมัน 
ทำให้ฟาโรห์"พโตเลมีที่ 11" ติดสินบนพวกโรมด้วยทรัพย์สมบัติมหาศาล
เพื่อตอบแทนการสนับสนุนให้ตนได้ครองบัลลังก์ เมื่อทรงครองราชย์
ก็ขูดรีดภาษีประชาชนเป็นจำนวนมากเพื่อจ่ายให้พวกโรม 
เมื่อฟาโรห์ "พโตเลมีที่ 12" บิดาของคลีโอพัตราขึ้นครองราชย์
ก็ต้องแบกรับหนี้สินมากมายและมีการก่อกบฏขึ้น ฟาโรห์พโตเลมีที่ 12
หลบหนีไปยังโรมเพื่อขอความช่วยเหลือและกู้ราชบัลลังก์คืนมา
โดยมีทหารโรมันคุมเชิงอยู่ซึ่งมีสภาพเป็นกึ่งเมืองขึ้นของโรม
เพื่อรักษาอำนาจฟาโรห์ไว้ก็ต้องแลกด้วยการเอาอกเอาใจโรม
หลังจากนั้นไม่นานฟาโรห์ก็สิ้นพระชนม์ และมีพินัยกรรม
แต่งตั้งให้คลีโอพัตราเป็นราชินีเคียงคู่กับพาโรห์พโตเลมีที่ 13
ซึ่งเป็นน้องชายของคลีโอพัตรา (ตามกฏมณเฑียรบาลของอียิปต์นั้น
ฟาโรห์ต้องสมรสกับพี่สาวหรือน้องสาวเพื่อปกครองอียิปต์ร่วมกัน)
 
คลีโอพัตรา เป็นราชินีที่มีความฉลาดหลักแหลมและรู้เท่าทันคน
ซึ่งยากที่พวกขุนนางจะเชิดได้ เพราะในขณะนั้นฟาโรห์มีพระชนม์
12 พรรษา และคลีโอพัตรามีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น
แต่เหล่าขุนนางก็สามารถยุยงให้ฟาโรห์ขับไล่นางออกจากวังได้สำเร็จ
คลีโอพัตราหนีออกจากอเล็กซานเดรียไปซีเรีย เพื่อจัดกองทัพบุกอียิปต์
(ซีเรียเคยเป็นหนี้บุญคุณนางมาก่อน) ซึ่งในขณะนั้น
อาณาจักรโรมันเกิดสงครามกลางเมืองระหว่าง "จูเลียส ซีซ่าร์"
กับ "ปอมเปย์ แมกนัส" ผู้ชนะคือซีซ่าร์ ปอมเปย์ได้หนีไปพึ่งอียิปต์
แต่กลับถูกฟาโรห์สั่งสังหารเพื่อเอาศรีษะไปกำนัลแด่ซีซาร์
และขอความช่วยเหลือให้จัดการกับทัพของคลีโอพัตรา
ซีซ่าร์ไม่ทรงพอพระทัยที่ฟาโรห์สั่งฆ่าตัดศรีษะปอมเปย์
เพราะทรงเห็นว่าเป็นการไม่ให้เกียรติย์นักรบแห่งโรม

ในคืนนั้นคลีโอพัตราได้วางแผนเพื่อเข้าพบซีซ่า
โดยเข้าไปอยู่ในม้วนพรมเพื่อเป็นของขวัญให้ซีซ่าร์
เมื่อนางกำนัลยกห่อพรมดังกล่าวไปถวายองค์ซีซ่าร์
เมื่อคลี่พรมออกก็ทรงพบกับคลีโอพัตราที่มีรูปโฉมงดงาม
(ปล.จะสู้คุณอีฟได้ไหมเนี๊ยะ..อิอิอิ) ซีซ่าร์ก็หลงรักในทันที

ในขณะนั้นซีซ่าร์อายุกว่า 50 ปีแล้วแต่มีอำนาจมากในยุคนั้น
ด้วยเหตุผลนี้ทำให้คลีโอพัตราต้องเข้าหาซีซ่าร์
ในการปลดอำนาจฟาโรห์พโตเลมีที่ 13 และพวกคณะขุนนาง
และใช้อำนาจของซีซ่าร์ตั้งตนเป็นราชินีแห่งอียิปต์
("จูเลียส ซีซ่าร์" เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน
ที่ต่อมาได้มีการขนานนามจักรพรรดิ์แห่งโรมทุกพระองค์ว่า "ซีซ่าร์")
ทั้งคู่ครองรักกันที่อียิปต์จนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน คือ "ซีซาร์เรี่ยน"

ซีซ่าร์อยู่กับคลีโอพัตราเป็นเวลานานโดยไม่กลับโรม
ทำให้สภาซีเนทแห่งโรมพากันโจมตีซีซ่าร์ว่าหลงผู้หญิงจนลืมโรม
ทำให้ฝ่ายต่อต้านโรมรวมตัวกันกบฏขึ้นที่เอเชียไมเนอร์
ซีซ่าร์ได้ปราบกบฏจนสำเร็จ เมื่อทรงกลับโรมจึงได้รับการสนับสนุน
จากประชาชนและสภาซีเนท ต่อมาซีซ่าร์ได้พาคลีโอพัตรา
เข้าไปยังกรุงโรม และให้ช่างปั้นรูปคลีโอพัตราโดยให้ชื่อรูปปั้น
ว่า "เทพีวีนัสเจเนทริกซ์" เพื่อประดับในเทวาลัย
ที่สร้างใหม่ ทั้งนี้ ฝ่ายต่อต้านซีซ่าร์ในสภาซีเนทกริ่งเกรงว่า
คลีโอพัตราจะชี้แนะให้ซีซ่าร์รวบอำนาจเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว
โดยมีซีซาเรี่ยนเป็นรัชทายาท (โรมเขามีรัฐสภาบริหารประเทศ)
พวกนักการเมืองก็กลัวจะสูญเสียอำนาจเลยมีการปล่อยข่าว
ให้ร้ายคลีโอพัตรา และสมคบคิดกันรุมฆ่าซีซ่าร์ด้วยมีดสั้น
ที่แอบนำเข้าไปในที่ประชุมรัฐสภา

ซีซ่าร์ได้ทำพินัยกรรมโดยระบุให้ออคตาเวี่ยน ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม
เป็นผู้ปกครองโรม บ้างว่าในภายหลังซีซ่าร์ได้ยกตำแหน่ง
ให้ซีซาเรี่ยนแล้วมีการบิดเบือนโดยคนในสภาซีเนท 
คลีโอพัตราพร้อมลูกหนีกลับอเล็กซานเดรียเพื่อรักษาอียิปต์

"มาร์คแอน โทนี่" แม่ทัพผู้เกรียงไกรของซีซ่าร์ได้ออกไล่ล่า
สังหารพวกลอบสังหารซีซ่าร์องค์ก่อนจนสำเร็จทำให้เป็นวีรบุรุษ
ของชาวโรม ออคตาเวี่ยนผู้ครองโรมได้แต่งตั้งให้ "มาร์ค แอนโทนี่"
ไปดูแลพื้นที่ตะวันออกทั้งหมดโดยตั้งค่ายบัญชาการที่ทาร์ซัส
และยกน้องสาวชื่อ "ออคตาเวีย" ให้เป็นภรรยา
คลีโอพัตราได้ผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกับ "มาร์ค แอนโทนี่"
เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้กับชาติอียิปต์
จนแอนโทนี่เกิดความสิเหน่หาในคลีโอพัตราและย้ายมาอยู่
ที่อเล็กซานเดรีย ทำให้อียิปต์ได้แม่ทัพที่แข็งแกร่งไว้ป้องกันราชบัลลังก์
ทำให้ออคตาเวี่ยนเคืองแค้นเป็นยิ่งนักและฉวยโอกาสนี้
ประนามแอนโทนี่ว่าไปหลงหญิงอียิปต์จนละทิ้งภรรยาชาวโรม
ที่เป็นถึงน้องผู้ปกครองโรมันและประเทศชาติ
จนผู้คนกล่าวหาคลีโอพัตราว่า "หญิงแพศยา"
และเกิดสงครามระหว่างโรมกับอียิปต์ขึ้น
และอีกเหตุผลที่ออคตาเวี่ยนต้องการทำสงคราม
ก็เพราะต้องการฆ่า "ซีซ่าเรี่ยน" ซึ่งเป็นหน่อเนื้อของอดีตซีซ่าร์
ที่อาจจะมาทวงความชอบธรรมในราชบัลลังก์โรมได้

ในปีที่ 32 ก่อนคริตกาลกองทัพยิ่งใหญ่ของออคตาเวี่ยนแห่งโรม
และกองทัพอียิปต์ผสมโรมของแอนโทนี่ได้เผชิญหน้ากันคนละฟากฝั่ง
ของทะเลไอโอเนี่ยนและเข้าต่อสู้กัน ในระหว่างที่กองเรือรบของแอนโทนี่
มีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้นั้นขุนนางอียิปต์ได้แนะให้คลีโอพัตรากลับลำเรือ
ไปอเล็กซานเดรียเพื่อหาทางป้องกันพระนคร แอนโทนี่เห็นดังนั้น
ก็นั่งเรือเล็กหนีทัพตามคลีโอพัตราไป จนได้รับความอัปยศอดสู
ในหมู่บรรดานักรบด้วยกัน ทำให้ทหารของแอนโทนี่สิ้นศรัทธา
ในตัวแม่ทัพพากันหนีเอาตัวรอดและเข้าหาทัพออคตาเวี่ยน

ทัพของออคตาเวี่ยนได้เคลื่อนพลสู่ดินแดนอียิปต์
ทหารอียิปต์พากันหนีทัพเหลือเพียงขุนพลคนเดียว
แอนโทนี่ออกไปเผชิญหน้ากับทัพของออคตาเวี่ยน
เพียงผู้เดียว แต่ไม่มีใครฆ่าเขาเลย แอนโทนี่จึงกลับ
อเล็กซานเดรีย และทราบข่าวผิดพลาดว่าคลีโอพัตราสิ้นแล้ว
จึงเสียอกเสียใจปลิดชีพตนเอง นางสนมนำร่างแอนโทนี่
ที่กำลังจะสิ้นใจมายังคลีโอพัตรา ทั้งนี้ พระนางได้สวมกอดสามี
และแอนโทนี่ก็สิ้นใจในอ้อมกอดของนาง คลีโอพัตราได้ตัดสินใจ
ฆ่าตัวตายด้วยงูพิษตามแอนโทนี่ไป ออคตาเวี่ยนได้เดินทัพ
ไปฆ่าซีซาเรี่ยน หลังจากนั้นอียิปต์ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของโรมัน
และค่อยๆ สูญสิ้นอารยธรรมไปในที่สุด สมบัติอันล้ำค่าต่างๆ
ได้ขนไปยังโรมเป็นจำนวนมากมาย เมื่อยุคอียิปต์สิ้นสุดลง
ก็เป็นยุคทองของอาณาจักรโรมัน  เมื่อครั้งที่คลีโอพัตราสิ้นนั้น

นางได้สวมชุดทองของฟาโรห์และสวมมงกุฏรูปงูเห่าทองคำ
เหนือหน้าผาก วีรกรรมของนางที่หลายคนประนามว่ามากรักนั้น
นางทำไปเพื่อปกป้องอียิปต์ซึ่งเป็นอาณาจักรของบรรพบุรุษ
ที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อนนับพันปีในลุ่มน้ำไนล์